วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ไฟตัดหมอกรถยนต์ควรเปิดเมื่อไหร่?

ไฟตัดหมอกรถยนต์ควรเปิดเมื่อไหร่?



สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาวางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน มักจะมาพร้อมอุปกรณ์ส่องสว่างที่เรียกว่า ไฟตัดหมอก ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากหากใช้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของมัน แต่จะกลายเป็นดาบสองคมทันทีหากใช้ผิดที่ผิดทาง

และเมื่อเราเห็นแบบนี้แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรเปิดไฟตัดหมอก? วันนี้ Sanook! Auto จะขอแนะนำการใช้งานไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธีให้รู้กันครับ


สำหรับ ไฟตัดหมอก นั้นถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งในรถยุโรปแบรนด์หรูส่วนใหญ่มาร่วม 30 ปีแล้ว ซึ่งก็มีทั้งที่ติดตั้งไว้ในชุดโคมไฟใหญ่ และแยกออกมาติดตั้งไว้บริเวณกันชน รวมถึงไฟตัดหมอกหลังที่มักอยู่ในชุดโคมเดียวกับไฟท้าย พร้อมสวิตช์ปิด - เปิดอยู่ภายในรถ

และในขณะที่รถยนต์จากโซนญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น รุ่น โตโยต้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ นั้นการใช้ ไฟตัดหมอก ก็จะถูกติดตั้งไว้เพื่อเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเกือบทุกรุ่นที่วางจำหน่ายในปัจจุบันแล้วเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นไฟตัดหมอกด้านหน้า ในขณะที่ไฟตัดหมอกหลังยังคงมีให้เป็นบางรุ่น บางยี่ห้อเท่านั้น


ซึ่ง ไฟตัดหมอกหน้า โดยส่วนใหญ่นั้นก็มักจะมีความเข้มของแสงใกล้เคียงกับไฟหน้าฮาโลเจนทั่วไป แต่ว่าก็จะมีความพิเศษอยู่ที่ลำแสงที่พุ่งออกมา ซึ่งจะถูกปรับเพื่อให้ส่องลงพื้น และ ออกไปทางด้านข้างมากกว่าไฟหน้าปกติ โดยนั่นมีวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเพื่อให้ผู้ขับสามารถมองเห็นขอบถนนได้ง่ายขึ้น ในเวลาที่ทัศนวิสัยด้านหน้าแย่มาก อย่างเช่น ฝนตกหนัก , หมอกลงจัด เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประคองรถให้อยู่ในเลนได้ต่อไปเรื่อยๆ


สำหรับไฟตัดหมอกในสมัยใหม่นั้น จะถูกออกแบบในส่วนของลำแสงให้ไล่เลี่ยขนานไปกับพื้นถนนด้วย เพื่อช่วยเสริมการทำงานของไฟหน้าให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นทางได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งไฟตัดหมอกประเภทนี้มักพบในรถยุโรป เช่น ford และรถญี่ปุ่นบางยี่ห้อ โดยที่ไฟลักษณะนี้ ถ้าหากเผลอเปิดทิ้งไว้ในสภาพอากาศปกติ ก็จะไม่กระทบกับสายตารถที่วิ่งสวนมาเท่าใดนัก ยกเว้นแต่พื้นถนนเปียกอาจสะท้อนเข้าตาได้เหมือนกัน

ส่วนของไฟตัดหมอกที่ติดตั้งในรถญี่ปุ่นบางรุ่น มีลักษณะการกระจายแสงไปด้านหน้าแบบทั่วทิศทาง (หากนึกไม่ออกลองนึกถึงไฟฉายที่สามารถกระจายแสงได้กว้างๆนั่นแหละ) ซึ่งไฟตัดหมอกประเภทนี้มีประโยชน์ในการช่วยให้ผู้ขับขี่ที่สวนทางมามองเห็นได้จากระยะไกลขึ้นกว่าเดิม ในสภาพที่ทัศนวิสัยอยู่ในระดับแย่มาก แต่หากสภาพอากาศเป็นปกติแล้วนั้น ไฟตัดหมอกประเภทนี้จะแยงสายตาผู้ร่วมทางเป็นอย่างมากเช่นกัน



สำหรับ ไฟตัดหมอกหลังนั้น จะมีลักษณะเป็นแสงสีแดงพุ่งตรงไปทางด้านหลัง มีความเข้มของแสงเท่ากับหรือมากกว่าไฟเบรกเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่ตามมาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในสภาวะฝนตกหนักหรือหมอกลงจัด ช่วยป้องกันอุบัติชนท้ายได้ดีกว่าไฟท้ายปกติ แต่แสงที่ว่าจะแยงตาผู้ร่วมทางเป็นอย่างมาก หากเปิดใช้ในสภาพอากาศปกติ

ซึ่งจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรเปิดไฟตัดหมอก?

สถานะการณ์โดยปกติแล้ว ไฟตัดหมอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จะมีการเปิดใช้ก็ต่อเมื่อสภาพอากาศภายนอกแย่จัด จนส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัยเท่านั้น (หากฝนตกปอยๆ แบบใช้ที่ปัดน้ำฝนช้าๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดหรอกครับ) ให้สังเกตว่าหากเราไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายรถคันหน้าท่ามกลางสายฝนในระยะ 50-100 เมตร ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกช่วยได้แล้วครับ เมื่อทัศนวิสัยกลับมาเป็นปกติก็ให้รีบปิดไฟตัดหมอกโดยทันที


การขับรถทางไกลมืดๆ เปิดไฟตัดหมอกหน้าทิ้งไว้ดีหรือไม่?

ก็จริงอยู่ที่ว่า เมื่อเปิดไฟตัดหมอกคู่กับไฟหน้า จะทำให้ไฟหน้าดูสว่างขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะส่องได้ไกลขึ้นแต่อย่างใด แถมยังอาจรบกวนสายตาผู้ร่วมทางที่วิ่งสวนมาอีกต่างหาก ทางที่ดีผู้ที่ต้องขับขี่ทางไกลยามวิกาลบ่อยๆ การลงมือปรับตั้งไฟหน้าให้ส่องสว่างได้ไกลขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า (แต่ต้องไม่ปรับให้สูงจนแยงตารถคันที่สวนมาด้วยนะครับ)

สรุป ไฟตัดหมอก นั้นถือเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากหากใช้งานอย่างถูกต้อง หากรถของคุณติดตั้งมาให้ด้วยแล้วล่ะก็ อย่าลืมใช้งานอย่างถูกวิธีด้วยนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น